ลอยกระทง

ประวัติวันลอยกระทงและประเพณีลอยกระทง

การลอยกระทงมีวัตถุประสงค์ด้วยกัน 2 ประการ คือ

1. เพื่อบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางท้องที่ถือว่าลอยกระทงเพื่อบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนื่องในโอกาสที่พระพุทธองค์ได้ไปแสดงธรรมในนาคภิภพ และทรงประทับรอยพระบาทไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที (1) เพราะฉะนั้นการที่บ้านเรามีประเพณีลอยกระทง ในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสองก็เพื่อบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนื่องในโอกาสนี้

ส่วนทางเหนือนั้นมีประเพณียี่เป็ง มีทั้งลอยกระทงและลอยโคมขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อบูชาพระเขี้ยวแก้วของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งบรรจุอยู่ในจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เราจึงจุดประทีป ลอยโคม ส่งใจขึ้นไปบูชาพระเขี้ยวแก้วร่วมกับพระอินทร์ที่นำหมู่เทวดาบูชาพระเขี้ยวแก้วที่จุฬามณีในวันเพ็ญเดือนสิบสองนี้เช่นกัน

ยี่เป็งสันทราย ได้จัดประเพณีลอยกระทง และลอยโคม ซึ่งเป็นภาพวัฒนธรรมไทยที่งดงามมากในสายตาของชาวโลก และยังได้มีการจัดลอยโคมที่มองโกเลีย และอินเดียเพื่อบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างยิ่งใหญ่มาแล้วด้วย

2. เพื่อบูชาพระแม่คงคา เป็นการแสดงการขอบคุณน้ำ เพราะมนุษย์เราอยู่ได้เพราะน้ำ ตั้งแต่โบราณมาชุมชนทั้งหลายเวลาสร้างเมือง ต่างก็เลือกติดแม่น้ำ ดังนั้นถึงเวลาในรอบ 1 ปี ก็เลือกเอาวันเพ็ญเดือนสิบสอง ระลึกว่าตลอดปีที่ผ่านมา เราได้อาศัยน้ำในการดำรงชีวิต ขณะที่ลอยกระทงเราก็นึกถึงคุณของน้ำ ไม่ใช่ลอยเฉยๆ ต้องรำลึกว่าต้องรู้จักใช้น้ำอย่างถูกวิธี และใช้น้ำอย่างคุ้มค่า ไม่ใช้ทิ้งขว้าง ไม่ทำให้น้ำสกปรก ไม่ปล่อยของเสียลงแม่น้ำ เป็นการขอขมาและขอบคุณพระแม่คงคา ไม่ใช่เป็นการไหว้เทวดาพระแม่คงคาแต่อย่างใด แต่เป็นการแสดงการขอบคุณน้ำ ในฐานะที่เป็นผู้ให้ชีวิตเรา

ความเป็นมาของเทศกาลวันลอยกระทง

คติที่มาเกี่ยวกับวันลอยกระทงมีอยู่หลายตำนาน ดังนี้

1. การลอยกระทง เพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา
2. การลอยกระทง เพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้าตามคติพราหมณ์คือบูชาพระนารายณ์ซึ่งบรรทม สินธุ์อยู่ในมหาสมุทร
3. การลอยกระทง เพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้า ในวันเสด็จกลับจากเทวโลก เมื่อครั้งเสด็จไป จำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อทรงเทศนาอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดา
4. การลอยกระทง เพื่อบูชาพระพุทธบาท ของพระพุทธเจ้า ที่หาดทรายริมแม่น้ำนัมมทาน ทีเมื่อคราวเสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ
5. การลอยกระทง เพื่อบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ ซึ่งเป็นที่บรรจุพระเกศาของ พระพุทธเจ้า
6. การลอยกระทง เพื่อบูชาท้าวพกาพรหม บนสวรรค์ชั้นพรหมโลก
7. การลอยกระทง เพื่อบูชาพระอุปคุตตะเถระ ซึ่งบำเพ็ญเพียรบริกรรมคาถาอยู่ในท้อง ทะเลลึกหรือสะดือทะเล

ลอยกระทง มีประวัติความเป็นมาช้านานและจะสืบทอดประเพณีอันดีงามนี้ต่อไป

url=http://www.dmc.tv/pages/top_of_week/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%87.html

บีเกิล

บีเกิล (อังกฤษ: Beagle) เป็นสายพันธุ์สุนัขมีถิ่นกำเนิดในประเทศสหราชอาณาจักร อยู่ในจำพวกกลุ่มสุนัขล่าเนื้อ(Hound) มีขนสั้นและหูปรก เป็นสุนัขที่มีประสาทด้านการดมกลิ่นเป็นเลิศ (scent hounds) ที่พัฒนาสายพันธ์ขึ้นมาครั้งแรก ด้วยจุดประสงค์เพื่อเป็นผู้ช่วยมนุษย์ ในกีฬาการล่าต่างๆ โดยเฉพาะการล่ากระต่าย ด้วยประสาทด้านการดมกลิ่นที่ไวมาก จึงได้มีการฝึกให้เป็นสุนัขตรวจสอบของผิดกฎหมาย อย่างเช่น ยาเสพติด วัตถุระเบิด ฯลฯ แต่บีเกิลยังได้รับความนิยมในฐานะสัตว์เลี้ยงเช่นกัน ด้วยขนาดตัวที่พอเหมาะ เป็นสุนัขอารมณ์ดี และสุขภาพแข็งแรงทนทานต่อโรค ด้วยคุณสมบัตินี้เอง บีเกิลยังถูกใช้ในงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับสัตว์อีกด้วย

สุนัขสายพันธุ์บีเกิลมีมากว่า 2000 ปีแล้ว และมีชื่อเสียงมากในยุคของพระนางอลิซาเบท (Elizabethan era) ซึ่งปรากฏในงานวรรณกรรม จิตรกรรม ภาพยนตร์ โทรทัศน์ และหนังสือการ์ตูนเรื่องสนู๊ปปี้ (Snoopy) ก็เป็นบีเกิลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดตัวหนึ่งของโลก

[แก้]พฤติกรรมทั่วไป

บีเกิลเป็นสุนัขที่สุภาพ พวกมันค่อนข้างเป็นมิตร ไม่ดุร้ายเกินไปหรือเฉื่อยชาเกินไป ชอบอยู่กันเป็นกลุ่ม แม้ว่าจะพอใช้กันคนแปลกหน้าได้บ้าง แต่มันก็เชื่องคนง่ายเกินจึงไม่เหมาะที่จะเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน แต่ว่ามันยังคงเห่าหรือหอนบ้าง เมื่อเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้า

ในปี 1985 เบ็นและลิเน็ท ฮาท(Ben and Lynette Hart) ได้ทำการศึกษาบีเกิล พร้อมกับสุนัขพันธุ์อื่นๆอย่าง ยอคเชียร์ เทอเรีย(Yorkshire Terrier) เคนท์ เทอเรีย (Cairn Terrier) เวส ไฮด์แลนด์ ไวท์ เทอเรีย (West Highland White Terrier) ฟอกซ์ เทอเรีย(Fox Terrier) ผลออกมาว่าบีเกิลเป็นสุนัขที่ฉลาด และเป็นสายพันธุ์ที่ถูกพัฒนามาด้วยจุดประสงค์เดียว คือให้เป็นนักล่ามาเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ฝึกค่อนข้างยาก โดยทั่วไปเมื่อมันรับคำสั่งแล้ว จะสั่งยกเลิกได้ยาก และเมื่อมันจดจำกลิ่นหนึ่งได้ มักจะถูกกลิ่นอื่นรอบตัวเบี่ยงเบนความสนใจได้ง่าย พวกมันจะไม่ค่อยยอมรับคำสั่งทั่วๆไป แต่ก็มีการตอบสนองต่ออาหารที่ดี มีความตื่นตัวสูง ช่างประจบ ในทางกลับกันก็เป็นสุนัขที่เบื่อง่าย

บีเกิลเป็นสุนัขที่เหมาะกับเด็กๆ จึงเป็นสุนัขที่นิยมเลี้ยงกันในครัวเรือน แต่ว่าพวกมันเป็นสุนัขที่อยู่เป็นฝูง เวลานำไปเลี้ยงจึงอาจเกิดอาการซึมเศร้าได้ ไม่ใช่บีเกิลทุกตัวที่จะหอน แต่ส่วนมากจะเห่าเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งบางตัวจะเห่าหรือหอน เมื่อรับรู้ถึงกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งโดยเฉพาะ บีเกิลยังเข้ากับสุนัขสายพันธุ์อื่นได้ง่าย พวกมันแข็งแรงมาก จึงวิ่งเล่นได้นานโดยที่ไม่เหนื่อยง่ายๆ

url=http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%A5

ปลาวาฬเพชรฆาต

ปลาวาฬเพชรฆาต
“ฟรีวิลลี” (Free Willy) ภาพยนตร์ดังเมื่อสิบกว่าปีก่อน ทำให้คนทั่วโลกประทับใจในความน่ารักและแสนรู้ของ “วาฬเพชฌฆาต” แต่เมื่อมีข่าวว่าวาฬเพชฌฆาตในสวนสัตว์น้ำทำร้ายครูฝึกจนถึงแก่ชีวิต ก็สร้างความตกตะลึงและความเคลือบแคลงสงสัยให้คนทั่วไปไม่น้อยว่า เหตุใดวาฬเพชฌฆาตที่ได้รับการฝึกหัดอย่างดี ถึงก่อเหตุสะเทือนขวัญได้เช่นนี้“ออร์กา” (Orca) หรือ “วาฬเพชฌฆาต” (Killer whales) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ อยู่ในวงศ์โลมา (Delphinidae) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า ออคินัส ออกา (Orcinus orca) วาฬเพชฌฆาตอาศัยอยู่ในมหาสมุทรได้ทั่วโลก ตั้งแต่อาร์กติกเรื่อยไปจนถึงแอนตาร์กติก รวมทั้งในทะเลแถบเขตร้อน

นักวิทยาศาสตร์จำแนกวาฬเพชฌฆาตออกเป็น 3 สายพันธุ์หลัก ได้แก่

- สายพันธุ์ทั่วไป (Resident) ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งด้านตะวันออกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก อยู่รวมกันเป็นครอบครัวอย่างเหนียวแน่น

- สายพันธุ์อพยพ (Transient) มักเดินทางไปทั่วตามชายฝั่งทะเล รวมกลุ่มกันเล็กๆ ราว 2-6 ตัว แต่ไม่เป็นครอบครัวเหนียวแน่นและมีพฤติกรรมไม่ซับซ้อนเท่าสายพันธุ์ทั่วไป

- สายพันธุ์ทะเลลึก (Offshore) นักวิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบวาฬเพชฌฆาตสายพันธุ์นี้เมื่อปี 1988 ซึ่งมีพันธุกรรมแยกออกจาก 2 สายพันธุ์ข้างต้นอย่างชัดเจน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในทะเลเปิด มักรวมตัวกันเป็นฝูงขนาดใหญ่ประมาณ 60 ตัว แต่พฤติกรรมอื่นๆ ยังมีข้อมูลน้อยมาก

url=http://www.saveoursea.net/forums/showthread.php?t=794

10 อันดับงูที่มีพิษที่สุดในโลก

10 Jararacussu ( Bothrops Jararacussu )

ปล่อยพิษครั้งละ 800 มิลลิกรัมต่อการกัด 1 ครั้ง พิษการกัด 1 ครั้ง สามารถทำให้คนตายได้ 32 คน พบที่ประเทศ อาร์เจนติน่า โบลิเวีย บราซิล และ ปารากวัย

9 Tiger Snake ( Notechis Scutatus )

พบที่ ออสเตรเลีย เกาะทาสมาเนีย หมู่เกาะแถบช่องแคบบาส และ เกาะนิวกินี

8 Multibanded krait ( Bungarus Multicinctus )

พบน้อยตามธรรมชาติ เหยื่อมักเป็นชาวประมง พบแถบทะเลจีนใต้ จีน ไต้หวัน วานูอาตู ฟิจิ

7 Yellow Jawed Tommygoff ( Bothrops Asper )

พบที่ ตอนใต้ของเม็กซิโก อเมริกากลาง อเมริกาใต้

6 Black Mamba ( Dendroaspis Polylepis ) แบล็กแมมบ้า

เป็นงูพิษที่ดุ และยังเคลื่อนไหวเร็วที่สุดในโลก (16-18 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ) พบที่ทุ่งหญ้าซาวันน่า และป่าโปร่งของทวีปแอฟริกา

5 Russell’s Viper ( Vipera Russellii ) งูแมวเซา

พบตั้งแต่ ศรีลังกา จีนตอนใต้ อินเดีย คาบสมุทรอินโดจีน เกาะสุมาตรา เกาะชวา เกาะบอร์เนียว

4 King Cobra ( Ophiophagus Hannah ) งูจงอาง

เป็นงูพิษที่ใหญ่ที่สุดในโลก พบที่ ไทย มาเลเซีย จีนตอนใต้ อินเดียตอนใต้ และ ฟิลิปปินส์

3 Philippine Cobra ( Naja Philippinensis )

จะดุร้ายถ้าไปรบกวนมัน(ส่วนใหญ่งูพิษนิสัยจะเป็นอย่านี้แหละ) พบที่ประเทศฟิลิปปินส์

2 Common Indian Krait ( Bungarus Caeruleus )

มีพิษเป็น 15 เท่าของ งูตระกูลงูเห่า/จงอาง โดยทั่วไป พบที่ ปากีสถาน อินเดีย ศรีลังกา

1 Inland Taipan ( Oxyuranus Microlepidotus )

ตามรายงานโดนกัดไม่ได้รับการรักษา มักเสียชีวิตไม่เกิน2-3 ชม. ส่วนน้อยมากที่ไม่ได้รับการรักษา จะกลับมารอดชีวิต กัดครังหนึ่งมีพิษปริมาณ 110 มิลลิกรัม แต่เพียง 2-3 มิลลิกรัม สามารถฆ่าคนได้มากกว่า100คน หรือหนูมากกว่า250,000ตัว พบที่ออสเตรเลียตอนกลาง

ไดโนเสาร์

ประวัติของไดโนเสาร์

เมื่อหลายล้านปีก่อนโลกได้กำเนิดสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ขึ้นมาบนโลก มี หลายเผ่าหลายพันธุ์สาย ทั้งประเภทกินเนื้อและกินพืชเป็นอาหาร ต่างฝ่ายก็มีหลายเผ่าหลายพันธุ์สาย ทั้งประเภทกินเนื้อและกินพืชเป็นอาหาร ต่างฝ่ายก็ซึ่งต่างก็ได้รับสมญานามว่าเป็นนักล่า โดยเฉาะ ทีแร็กซ์ และแร็พเตอร์ นับว่าเป็นนักล่าในยุคจูลลาสสิค และฝ่ายหาอาหารจากพืชก็จะมีสิ่งป้องกันบางอย่างเพื่อเป็นเกราะคุ้มครองของตน เอง เช่นหนามที่แหลมคม พวกนี้จะไม่ทำอันตรายพวกอื่นก่อนถ้าไม่ถูกรบกวนหรือถูกรุกรานก่อน แต่แล้วสายพันธุ์ของไดโนเสาร์ก็ต้องสิ้นสุดลงเพราะต้องเผชิญกับหายนะอันใหญ่ หลวงของโลกจากกลุ่มหินอุกกาบาตที่เข้าถล่มโลกอย่างบ้าคลั่ง ทำให้สิ่งมีชีวิตต้องจบสิ้นลงไปด้วยเพราะไม่อาจทนความร้อนได้ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเขม่าและควันไฟที่โพยพุ่ง โลกเต็มไปด้วยความมืดมิดไม่มีแสงสว่าง และเป็นเช่นนั้นอยู่หลายปีและโลกเริ่มเย็นขึ้นๆเรื่อยๆ และต่อมาก็เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ เริ่มเข้ายุคใหม่ที่เริ่มก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิตยุดใหม่เข้ามาแทนที่สัตว์ใหญ่ ที่เคยครองโลกอยู่คงเหลือแต่ซากเถ้ากระดูกและฟอสซิลให้เห็นมาจนตราบทุก วันนี้